การสอนภาษาไทยสำหรับผู้ไม่รู้หนังสือ
การสอนภาษาไทยสำหรับผู้ไม่รู้หนังสือ
อนงค์ เชื้อนนท์
คนส่วนใหญ่คิดว่า การสอนภาษาไทยสำหรับผู้ไม่รู้หนังสือเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่โดยแท้จริงแล้วการนำภาษาไทยมาวิเคราะห์สังเคราะห์และสอนภาษาไทยแบบง่าย ๆ สำหรับผู้ไม่รู้หนังสือ
เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ไม่ควรเริ่มสอนด้วยการให้ผู้เรียนหัดเขียน ก ข ค ก่อน เพราะผู้เรียนจะเริ่มเรียนสิ่งที่ยากก่อน ควรเริ่มจากสอนจากเรื่องง่าย ๆ ก่อน
วิธีสอน 5 ขั้นตอน
1. เริ่มสอนการฟังก่อน ถ้าเป็นเด็กควรเริ่มหัดฟังสิ่งต่าง ๆจากง่าย ๆ รอบตัวก่อน เช่น เสียงไก่ขัน เสียงนกร้อง เสียงน้ำตก เสียงรถยนต์ แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ควรเริ่มฟังเป็นคำ ๆ ประกอบท่าทาง
ครูออกเสียงคำให้ฟัง
|
การแสดงท่าทางประกอบ
|
สวัสดี ขอบคุณ ขอโทษ
|
ยกมือไหว้
|
หู ตา จมูก ปาก แขน ขา
|
ชี้ที่อวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
|
หน้าต่าง ประตู โต๊ะ เก้าอี้
สมุด ดินสอ ปากกา ไม้บรรทัด
|
ชี้ไปที่สิ่งของต่าง ๆ ที่อยู่ในห้องเรียน
|
นก หมู เป็ด ไก่ หมา มด แมว
|
ชี้ไปที่สัตว์ต่าง ๆ ที่อยู่ในบริเวณโรงเรียน
|
ดีพอ จออา พะชู ชูพอ จะคา
ครู นักเรียน
|
ชี้ไปที่คนตามชื่อที่ครูเรียก หรือครูอาจฝึกเรียกชื่อทุกวันเพื่อให้ทุกคนสามารถจำชื่อตนเองได้
|
ดอกไม้ ต้นมะขาม ต้นก้ามปู ต้นเฟื่องฟ้า
|
ชี้ไปที่ต้นไม้ในบริเวณโรงเรียน หรือพาผู้เรียนออกนอกห้องเรียนไปดูต้นไม้ใกล้ ๆ แล้วครูออกเสียงภาษาไทยให้ผู้เรียนฟัง
|
ผัก ผลไม้
|
ชี้รูปภาพ หรือของจริง
|
การแนะนำคำต่าง ๆ พร้อมท่าทางประกอบควรพูดแนะนำ 3-5 ครั้ง ให้ผู้เรียนจดจำได้ อย่ารีบร้อนให้ผู้เรียนพูด ครูควรแน่ใจว่าผู้เรียนสามารถฟังได้ดี เรียกว่า หูกระดิก ฟังจนจับใจความเสียงที่ครูเปล่งชัดเจนดีแล้ว จึงเริ่มสอนขั้นตอนต่อไป ควรสอนการฟังสอดแทรกวันละ 15-20 นาที และควรสอนคำวันแรกไม่เกิน 10 คำ (เช้า 5 คำ บ่าย 5 คำ) วันหนึ่งถ้าสอนมากไปจะจำไม่ได้เลยเพราะสับสน วันที่สองและวันต่อ ๆ มา ก็เพิ่มศัพท์ขึ้นเรื่อย วันแรก 10 คำ วันที่สอง 10 คำใหม่ (บวก 10 คำวันแรก สอนทบทวน) เพราะฉะนั้นวันที่สองจะได้รู้คำศัพท์ 20 คำ วันที่สามและสี่เพิ่มคำศัพท์ขึ้นเรื่อย ๆ จนครอบคลุมวงคำศัพท์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน(สำหรับผู้ไม่รู้หนังสือ ควรสอนประมาณ 600 คำ)
2. ฝึกสอนการพูด ให้ฝึกสอนพูดจากสิ่งใกล้ตัวผู้เรียนก่อน ได้แก่คำทักทาย สวัสดีขอโทษ ขอบคุณครับ(ค่ะ)
ต่อมาให้รู้จักพูดชื่อครูและชื่อตนเอง พูดเกี่ยวกับอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น หน้า ผม ตา จมูก มือ เท้า แขน ขา และอิริยาบถต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ยืน เดิน นั่ง นอน วิ่ง ต่อมาให้ผู้เรียนสามารถ เรียกชื่อวัตถุสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ในโรงเรียน เช่น สมุด ดินสอ ปากกา ยางลบ ไม้บรรทัด หน้าต่าง ประตู โต๊ะ เก้าอี้ กระดานดำ กระดาษ ฝึกสอนพูดเป็นคำก่อน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถจับคู่คำที่พูดและภาพได้
3. ฝึกอ่าน อาจฝึกอ่านได้หลายวิธี แล้วแต่ความพร้อมของผู้เรียน ครูบางคนอาจฝึกอ่านจากตัวอักษร เริ่มจาก ก ไปจนถึง ฮ แต่ให้สอนอ่านวันละ 5-10 ตัว พอครบ 4 วัน สอนเสร็จหมด 44 ตัวอักษร วันที่ 5 ก็ให้ทบทวนตัวอักษรทั้งหมด โดยชี้แบบไม่เรียงตัว แต่ถ้าจะให้สนุกต้องร้องเพลงประกอบจะทำให้จำได้ดี
อาจฝึกอ่านจากคำจากภาพ เช่น ไก่ ไข่ ฃวด ควาย ระฆัง งู จนถึงนกฮูก วิธีนี้ผู้ใหญ่อาจจะชอบ ที่สำคัญต้องสังเกตว่าถ้านำเด็กและผู้ใหญ่มาเรียนด้วยกัน ต้องอย่าให้ผู้ใหญ่รู้สึกอายมิฉะนั้น การเรียนรู้ของผู้ใหญ่จะไม่ประสบความสำเร็จ
ต่อมาฝึกอ่านประโยค และอ่านเรื่อง ตามลำดับ แต่ครูของตระหนักไว้เสมอว่าครูต้องเป็นต้นแบบอ่านให้ฟังก่อน 2-3 ครั้ง แล้วจึงให้ทุกคนอ่านพร้อมกันทั้งห้อง ครูสุ่มอาสาสมัคร 2-3 คน ออกมาอ่านหน้าชั้น แล้วให้ทุกคนอ่านพร้อมกันทั้งห้องโดยครูไม่อ่านนำให้ทุกคนอ่านเองตามที่ครูชี้ให้อ่าน และถ้าครูมีเวลาอาจให้ฝึกฝนอ่านเป็นรายบุคคล
4. ฝึกเขียน
เริ่มตั้งแต่ฝึกเขียนพยัญชนะ ก ถึง ฮ ซึ่งวิธีนี้มักนิยมกันอย่างแพร่หลาย หรืออาจลองฝึกหัดเขียนโดยเน้นเขียนตัวที่ฝึกง่ายก่อนก็ได้ หรือตัวที่เขียนคล้าย ๆ กันก่อน เพราะฝึกเขียนง่ายและเป็นรูปแบบใกล้เคียงกัน
นอกจากนั้นอาจฝึกเขียนตัวที่มีเสียงคล้ายคลึงกัน หรือเสียงเหมือนกัน
ก ถ ภ ฎ ฎ ฌ ณ ญ
|
ข ฃ ช ซ
|
ค ศ ฅ ต ด ฒ
|
ง จ ฐ
|
ฉ ม ฆ น ย
|
ว ร
|
ท ฑ ห ธ
|
บ ป ษ
|
พ ฟ ฬ ผ ฝ
|
ล ส อ ฮ
|
เพิ่มเติมฝึกเขียนสระ และวรรณยุกต์ ตามแบบฝึกอ่านหนังสือไทย กศน.
ก
|
ข ฃ
|
ค ฆ ฅ
|
ง
|
จ
|
ช ซ ฉ ฌ
|
ย ญ
|
ด ฎ
|
ต ฏ
|
ฐ ถ
|
ท ฑ ธ ฒ
|
น ณ
|
บ
|
ป
|
ผ
|
ฝ
|
ภ พ
|
ฟ
|
ม
|
ร ล ฬ
|
ว
|
ส ษ ศ
|
อ
|
ห ฮ
|
5. ฝึกคิดและวิเคราะห์ ครูอธิบายตัวอักษรแต่ละตัวจนผู้เรียนเกิดความเข้าใจ ไม่ได้ท่องจำเท่านั้น แต่ครูจะต้องทราบพื้นฐานของผู้เรียนว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์(กลุ่มกะเหรี่ยง)ที่ไม่ได้พูดภาษาไทยเป็นภาษาแรก บางคนพูดภาษาแม่ก่อน จึงมาเรียนมาไทยทำให้ต้องมีวิธีการเรียนภาษาไทยที่แตกต่างจากผู้เรียนที่พูดภาษาไทยตั้งแต่เกิด โดยมีข้อควรคำนึงสำหรับสอนกลุ่มชาติพันธุ์(กะเหรี่ยง) ดังนี้
• พยัญชนะในภาษากะเหรี่ยงเป็นเสียงกลางทั้งหมด ไม่มีเสียงสูง และเสียงต่ำเหมือนภาษาไทย เพราะฉะนั้น ผู้เรียนกลุ่มนี้จำเป็นต้องเรียนรู้และต้องการคำอธิบายเกี่ยวกับหลักภาษาไทยมากเพียงพอ เนื่องจากภาษาไทยแบ่งกลุ่มตัวอักษร 3 กลุ่ม คือ อักษรสูง อักษรกลาง และอักษรต่ำ
• พยัญชนะบางตัวไม่มีเสียงในภาษากะเหรี่ยง ดังเช่น ข ฉ ถ ฐ ผ ฝ ส ษ ศ ห
ต้องฝึกฝนเพิ่มเติม เนื่องจากผู้เรียนไม่มีเสียงเหล่านี้ในภาษาแม่ของตนเอง นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์มักพูดภาษาไทยไม่ชัด จนเป็นที่ล้อเลียน ถ้าครูภาษาไทยทราบจุดอ่อนของผู้เรียนสามารถแก้ไขได้ทันตั้งแต่แรกก็จะแก้ปัญหาการพูดไม่ชัดได้
• พยัญชนะภาษาไทยมีแม่ตัวสะกด กง กน กม เกย เกอว กก กด กบ แต่สำหรับภาษากะเหรี่ยงไม่มีตัวสะกด มีแต่อักษรควบกล้ำ ทำให้ต้องเพิ่มเติมรายละเอียดและเน้นเพิ่มเติมเนื่องจากผู้เรียนจะต้องรู้จักวิธีออกเสียงและใช้ปากให้ถูกต้อง ครูภาษาไทยจะต้องฝึกฝนและเพิ่มความสังเกตผู้เรียนมากเป็นพิเศษ
• ระดับเสียงในภาษาไทยมีครบ 5 เสียง คือ เสียงสามัญ เสียงเอก เสียงโท เสียงตรี และเสียงจัตวา แต่ในภาษากะเหรี่ยงมีเพียง เสียงสามัญ เสียง เอก เสียงโท เสียงตรี ทำให้ผู้เรียนมีปัญหาในการใช้เสียงจัตวา ประกอบกับระดับเสียงเอก และเสียงโท ของภาษากะเหรี่ยงก็ออกได้เพียงเสียงกล้ำกึ่งเสียงเอก และเสียงโท ของภาษาไทย ทำให้เสียงพูดเหมือนอยู่ในลำคอออกเสียงกลาง ๆ ไม่ใช่เสียงเฉียบขาดแบบภาษาไทย ฉะนั้นครูต้องใส่ใจเป็นพิเศษเพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจภาษาไทย
• เนื้อหาวิชาของภาษาไทยควรเน้นเนื้อเรื่องที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของผู้เรียน จะทำให้ผู้เรียนมองเห็นภาพชัด และคิดออกง่าย ๆ ถ้าสอนผู้เรียนเรื่องไกลตัวในสิ่งที่ชุมชนผู้เรียนไม่มี ไม่เคยเห็น ทำให้นึกภาพไม่ออก ไม่เข้าใจ จะสับสนแล้วรู้สึกว่าสิ่งที่เรียนยากเกินไป
ทำให้ไม่สนใจอยากจะเรียน เกิดความเบื่อหน่าย ไม่อยากมาเรียนภาษาไทย และไม่รักโรงเรียน
นอกเหนือจากวิธีสอน 5 ขั้นตอนแล้ว ครูสอนภาษาไทยสำหรับกลุ่มชาติพันธุ์จะต้องมีความเป็นกันเองทำให้ผู้เรียนไว้วางใจ มีความตั้งใจ และความเอาใจใส่เป็นพิเศษ สิ่งสำคัญครูต้องรักภาษาไทยและรักษาการสอนภาษาไทยเป็นชีวิตจิตใจ เมื่อนั้นแหละ การสอนภาษาไทยสำหรับผู้ไม่รู้หนังสือจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน